ยุคมืด
เป็นยุดมืดในยุคของยุโรป
ผู้เข้าชมรวม
5,277
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิชชา ในทวีปอเมริกากลาง ที่ปัจจุบันคือ Gualemala Mexico, Honduras, Belize และ El Salvador กำลังเป็นแหล่งอาศัยของชนเผ่ามายา (Maya) ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดเช่น ได้สร้างพีระมิดและพระราชวังที่มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป 5 ศตวรรษเท่านั้นเอง อารยธรรมมายาก็ถึงแก่กาลอวสาน โดยได้สูญสลายหายไปจากโลก เมื่อผู้คนมายาพากันอพยพเผ่นหนีเมืองของตนอย่างไร้เหตุผลใดๆ หลังจากนั้นป่าก็ได้เข้าครอบคลุมและบดบังอารยสถานต่างๆ ทำให้ไม่มีมนุษย์คนใดได้เห็นอัครสถานเหล่านี้อีกเลย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2384 เมื่อ John Lloyd Stephens นักผจญภัยชาวอเมริกัน ได้พบเมือง Copan ในป่าทึบของประเทศ Honduras เราจึงได้รู้จักโลกของชาวมายาอีกครั้งหนึ่ง
ตลอดระยะเวลา 160 ปีที่ผ่านมานี้ นักโบราณคดีได้พบว่า ชนเผ่ามายามีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคา และจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา ตามปกติชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมายทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพและเทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถวายเทพ
สังคมมายามีการแบ่งชั้นวรรณะ โดยมีพระนักบวชอยู่ในวรรณะสูงสุด เพราะเป็นผู้เข้าใจดาราศาสตร์ รู้สถาปัตยกรรมศาสตร์ และรอบรู้ในสรรพวิทยาการ ดังนั้น ชีวิตของพระจึงเป็นชีวิตที่สบาย มีหยก ขนนกปักษาสวรรค์ และหนังสัตว์ในครอบครอง และเวลาเดินทางไปไหนมาไหน จะมีทาสหามเสลี่ยงไป ส่วนชาวบ้านธรรมดานั้นก็จะทำแต่งาน แล้วนำผลิตผลดีๆ ไปถวายแด่กษัตริย์ เมื่ออยู่ในวัยเด็กชาวมายาจะใช้ชื่อหนึ่ง เวลาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะใช้อีกชื่อหนึ่ง และจะเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเมื่อแต่งงาน ดังนั้น ชาวมายาแต่ละคนจะใช้ชื่อมากถึง 3 ชื่อในชีวิต ณ วันนี้ ปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนคือ อารยธรรมมายาล่มสลายเพราะเหตุใด
เมื่อ 12 ปีก่อนนี้ A. Demarest แห่งมหาวิทยาลัย Vanderbilt ในสหรัฐอเมริกาได้พบอักษรจารึกบนภาชนะที่ฝังในพีระมิด ซึ่งอ่านว่าความไม่อิ่มเอมในอำนาจรสของบรรดากษัตริย์ ที่ได้สู้รบกันเพื่อแย่งชิงอาณาจักรกัน คือสาเหตุหลักที่ได้ทำลายอาณาจักรมายาวายวอด เพราะเวลาเกิดสงคราม ชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่นอกเมืองต้องหนีข้าศึกอพยพเข้ามาอยู่ในเมือง ทำให้ผลิตผลการเกษตรลดปริมาณเมื่อภาวะทุพภิกขภัยบังเกิด ชาวบ้านก็ได้กรูเข้ายึดพระราชวัง เพื่อยื้อแย่งราชภักษาหารไปบริโภค และนั่นก็คือจุดจบของกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรมายา
ณ วันนี้นักโบราณคดียังไม่พออกพอใจกับคำตอบที่ว่า สงครามกลางเมืองทำให้อาณาจักรมายาสลายเท่าใดนัก เพราะเหตุผลอื่นๆ ก็มีน้ำหนักมากเช่นกันเช่น พื้นแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรมายาเป็นดินแดนที่แสนจะไร้คุณภาพ ทั้งนี้เพราะมีป่าทึบปกคลุมทำให้ฝนตกในอาณาจักรหนักมาก ซึ่งมีผลทำให้ป่ามีสิ่งมีชีวิตหนาแน่นจนเกินไป จนสัตว์ป่าได้เข้ามาคุกคามวิถีชีวิตของชาวเมือง นอกจากนี้การมีฝนตกชุกยังได้ทำให้น้ำฝนไหลชะเนื้อดินที่จะใช้สำหรับทำเกษตรกรรมหลุดไปมาก ชาวบ้านจึงทำเกษตรกรรมได้น้อยลงๆ และนั่นก็หมายความว่าสภาพทางเศรษฐกิจก็ตกต่ำลงๆ และเมื่อเรารู้ว่าการที่มนุษย์จะมีอารยธรรมได้ สภาพทางเศรษฐกิจของมนุษย์จะต้องดีก่อน เพราะมนุษย์จะได้มีเวลาอุทิศตัวสร้างสรรค์ความเจริญด้านบริหาร ศาสนา วัฒนธรรม ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ แทนที่จะคิดทำมาหากินเลี้ยงกระเพาะแต่เรื่องเดียว ดังนั้น เมื่อสภาพแวดล้อมไม่ดี ผลที่ติดตามมาคือ ชาวบ้านประสบความยากลำบาก ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาอารยธรรมมายาเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก
นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ชาวมายานั้นตามปกติชอบทำเกษตรกรรมเลื่อนลอย ซึ่งหมายความว่าชาวบ้านนิยมตัดป่าแล้วเผาป่า การทำเกษตรกรรมลักษณะนี้จึงต้องการพื้นที่ทำงานขนาดใหญ่ เกษตรกรแต่ละคนจึงตั้งบ้านเรือนอยู่กันห่างไกล การรวมพลังสร้างสรรค์ใดๆ จึงเป็นไปได้ยาก และเมื่อชาวมายานิยมแบ่งพื้นที่ให้กษัตริย์ปกครอง การต่อสู้แย่งชิงพื้นที่เกษตรกรรมจึงเกิดขึ้นบ่อย ทำให้ประเทศขาดความสามัคคี และนี่อาจเป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งและข้อมูลที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องหนึ่งคือ ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อ และไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชนมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูนและหินทรายในการสร้างเมืองเท่านั้นเอง ถึงกระนั้นชาวมายาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างพีระมิดที่เมือง
นักประวัติศาสตร์ด้านอารยธรรมมายา อีกหลายคนได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับสาเหตุการล่มสลายของอารยธรรมนี้ว่า อาจเกิดจากความล้มเหลวทางการพาณิชย์ที่มีการเรียกเก็บภาษีจากเกษตรกรรมมากไป หรืออาจจะเกิดจากที่อาณาจักรถูกพายุทอร์นาโดถล่มหรือเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง ในอาณาจักรซึ่งได้สังหารผู้คนจำนวนนับแสนคน หรืออาจจะเกิดจากโรคร้ายแรงเช่น ทรพิษ หรือกาฬโรคที่ได้ระบาดไปทั่วอาณาจักรมายา ฯลฯ
แต่เหตุผลเหล่านี้มีน้ำหนักน้อยเพราะถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง เราก็จะต้องเห็นเถ้าถ่านและร่องรอยที่อาณาจักรถูกทำลาย รวมทั้งได้เห็นโครงกระดูกของชาวมายาเกลื่อนกลาดด้วย ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานในมือ แต่นักประวัติศาสตร์ก็รู้ว่าความกลัวได้ขับไล่ผู้คนให้หลบหนี และละทิ้งบ้านเมืองของตน แล้วอะไรที่ทำให้ชาวมายาผวากลัว นี่คือปริศนามายาที่ยังไม่มีคำตอบ
ในความพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ของชาวมายา นักโบราณคดีได้บุกป่า ฝ่าดงในเม็กซิโกเพื่อค้นหาหลักฐานจากพีระมิด จากวิหารที่ชาวมายาสร้างและ James E. Brady แห่งมหาวิทยาลัย
และเมื่อถ้ำในธรรมชาติมีน้อย ชาวมายาจึงได้หันไปขุดถ้ำ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมเป็นจำนวนมาก จนถ้ำอาจเปรียบเทียบได้กับพีระมิดมายาที่เลื่องชื่อ
และในที่ประชุมของ Society for American Archaeology ที่เมือง
ชาวนามายาที่อยู่ห่างไกลจากเมืองและอยู่ในป่ามักขุดถ้ำตามภูเขา เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และในถ้ำบางถ้ำนั้นชาวมายาจะนำศพของบรรพบุรุษไปฝัง ทั้งนี้เพราะชาวมายาเชื่อว่าน้ำที่ไหลจากภูเขาและออกมาตามถ้ำ คือน้ำจากใจกลางโลกที่สามารถเลี้ยงดูมนุษย์ได้ ดังนั้น การฝังศพของบรรพบุรุษในสถานที่ลึกเช่นนี้ จึงเป็นการไหว้วานให้วิญญาณให้ปกป้องน้ำ เพื่อชาวมายาได้มีใช้ตลอดไปด้วย นอกจากนี้การฝังศพในถ้ำก็เป็นการช่วยให้วิญญาณของผู้ตายได้ติดต่อกับยมเทพในนรก เพื่อขอร้องมิให้ยมเทพบันดาลเหตุร้ายแก่ตน
นอกจากนี้ Brady ยังพบเปลือกหอยมากมายในถ้ำ ทั้งนี้เพราะชาวมายาเชื่อว่าเปลือกหอยคือสัญลักษณ์ของน้ำ การเกิด การตาย และการเจริญพันธุ์และยังพบเครื่องปั้นดินเผาและลูกปัดด้วย ในบางถ้ำมีภาพวาดตามผนังซึ่งแสดงให้เห็นการแต่งกายของชาวมายาสมัยนั้น
มายา ณ วันนี้ โบราณคดีถ้ำของชาวมายา จึงกำลังเป็นวิทยาการอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์มายาที่ทำให้เรา ปัจจุบันรู้จิตใจของคนมายา เมื่อ 1,000 ปีก่อน ดีขึ้น
ผลงานอื่นๆ ของ CLASS ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ CLASS
ความคิดเห็น